วันที่ 29 กันยายน 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ซึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงต่อรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา กรุงเทพมหานคร โดยมี นายประเสริฐ ศิรินภาพร รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมรับฟังการแถลงนโยบายและเตรียมพร้อมสนับสนุนข้อมูลการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านความมั่นคง 3) ด้านสังคม 4) ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5) ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย ภายใต้การยึดหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2) ยึดมั่นการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3) ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
นายสุชาติ กล่าวว่า “ในส่วนนโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้ให้ความสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1) การเร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงการเร่งเยียวยาฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบภัย การนำข้อมูลของส่วนราชการส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติในพื้นที่อย่างจริงจัง การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าและป่าชุมชนอย่างถูกต้อง และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 2) การเร่งผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยจะประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในชุมชนและหน่วยงานรัฐ การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการยกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการป้องกันและลดการเผาในภาคการเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล และผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว”